หลังจากที่ Thaicarlover.com ได้แนะนำผู้อ่านถึงเรื่อง 10 เทคนิคประหยัดน้ำมันที่คุณอาจยังไม่รู้ ไปใน 2 ตอนที่แล้ว วันนี้เราจะมาแนะนำกันต่อกับหัวข้อเรื่อง เครื่อง 3 สูบกับการประหยัดน้ำมันที่มากกว่า กันครับ
ช่วงนี้กระแสการผลิตรถยนต์ทั่วโลกมีทีท่าว่าจะปรับตัวหันมาเน้นเรื่องความประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ราคาน้ำมันพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรถระดับหรูต้องเข้าสู่โหมดรถไฟฟ้า หรือไม่ก็รถ ไฮบริด (Hybrid Car) แต่ในกลุ่มระดับล่างนั้น เครื่องยนต์กำลังถูกย่อขนาดแต่ขยายสมรรถนะมากยิ่งขึ้น
Nissan March
เดิมทีเมื่อพูดถึงเครื่องยนต์ที่เล็กที่สุด เครื่องยนต์ 4 สูบ 1,500 ซีซี น่าจะเป็นเครื่องที่มีกำลังน้อยที่สุดแล้ว ทว่าวันนี้โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เมื่อเครื่องยนต์ 3 สูบกลายเป็นคำตอบที่เราหลายคนเริ่มได้สัมผัสกัน โดยเฉพาะในรถอีโคคาร์ (Eco Car) ยอดนิยมในปัจจุบัน รวมถึงที่กำลังจะมาในอนาคต
เครื่อง 3 สูบ
ความจริงแล้วเครื่องยนต์ 3 สูบ นั้นไม่ใช่ของใหม่ มีใช้กันมานานพอสมควรแล้ว ตั้งแต่ยุค 1970 โดยบริษัทซูซูกิ ประเทศญี่ปุ่น เริ่มผลิตในโครงการรถยนต์ขนาดเล็กที่เรียกว่า Kei Car แต่กว่าจะเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายก็อีก 6 ปี ให้หลังในช่วงปี 1984 เมื่อ Volkswagen นำเครื่องยนต์ 3 สูบออกสู่ตลาดในขนาด 1.8 ลิตร ที่ใช้ในรถ Alfa Romeo และปัจจุบันเครื่อง 3 สูบ ก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางสำหรับรถนั่งขนาดเล็กของญี่ปุ่น ในกลุ่มไม่เกิน 660 ซีซี
เครื่อง 4 สูบ
คุณสมบัติหนึ่งที่สำคัญของเครื่องยนต์ 3 สูบนั้นก็คือ ชุดลูกสูบที่มีน้อยกว่าเครื่องยนต์ยอดนิยมอย่าง 4 สูบแถวเรียง ที่แม้การตัดออกไป 1 สูบ จะหมายถึงกำลังที่หดหายลงไปบ้าง แต่มันก็ช่วยให้เครื่องยนต์นั้นมีอัตราเร่งที่จัดจ้านอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการลดภาระของการทำงานชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์
ไม่เพียงเท่านี้ เครื่องยนต์ 3 สูบนั้นยังลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา เช่นเดียวกับน้ำหนักเครื่องยนต์ที่เบากว่าเครื่อง 4 สูบพอตัว ทำให้เมื่อนำเครื่องยนต์ไปใส่ในรถที่มีขนาดเดียวกันนั้น รถรุ่นที่ใช้เครื่อง 3 สูบจะมีน้ำหนักน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหมายถึงความประหยัดน้ำมัน และการแบกน้ำหนักอีกด้วย
พบกันใหม่กับเทคนิคดีๆ กับการดูแลรักษารถยนต์ สำหรับคนรักรถ จาก Thaicarlover.com ได้ใหม่สวัสดีครับ