ยกเลิกการแจ้งเตือน

คุณต้องการยกเลิกการแจ้งเตือนข่าวสารเมื่อมีการอัพเดตใช่หรือไม่?

Advertise with Us

ติดต่อเพื่อลงโฆษณากับเราที่นี่!

รถยนต์ ข่าวรถยนต์ รถใหม่ ราคารถยนต์ พริตตี้ รถคลาสสิค รถแต่ง
background

ดูแลรักษารถยนต์หลังถูกน้ำท่วม

31 มี.ค. 2554 N/A views

ล่าสุดหลายจังหวัดในภาคใต้ต้องประสบไปกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำ เส้นทางล่าสุดที่รถยนต์ไม่สามารถผ่านได้ จำนวน 27 เส้นทาง โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีมากที่สุด ถึง 13 เส้นทาง , นครศรีธรรมราช 4 เส้นทาง , ตรัง 5 เส้นทาง , และกระบี่ 5 เส้นทาง ไม่นับเหตุการณ์ซึนามิที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นอีก
ปัญหาที่เหลือทิ้งไว้หลังน้ำลดก็ยังมาซ้ำเติมอย่างไม่หยุดหย่อน ผู้ประสบภัยทั้งหลายต้องเผชิญกับสิ่งของต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย และหนึ่งในบรรดาของหลายๆ อย่างนั้น ก็คงหนีไม่พ้นรถยนต์ที่เพิ่งผ่านพ้นการจมอยู่ใต้น้ำหลายร้อยกว่าคันเลยทีเดียว

วันนี้ทางเว็บไซต์ Thaicarlover.com จึงมีความรู้เด็ดๆ มาฝากคนรักรถเกี่ยวกับเรื่อง วิธีการดูแลรักษารถยนต์หลังถูกน้ำท่วม หลังจากที่ได้แนะนำความรู้เกี่ยวกับเรื่อง อุปกรณ์ติดรถยนต์เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉิน (ตอนที่ 1) และตอนที่ 2 ไปแล้ว

การดูแลรถยนต์ในสถานการณ์หลังภาวะน้ำท่วมนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยทำให้รถของท่านกลับมาวิ่งได้อีกครั้ง และมันก็ไม่ยากถ้าคุณทำตามคำแนะนำง่ายๆเหล่านี้

1. อย่าสตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่ออุทกภัยจากไป สิ่งแรกที่หลายๆ คนอยากรู้ คือสภาพของทรัพย์สิน ว่ายังมีสภาพที่ดีหรือไม่ โดยเฉพาะรถยนต์ ซึ่งหลายๆคนมักจะรีบไปสตาร์ทดูว่า ยังใช้งานได้อยู่หรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้ว การสตาร์ทรถทันทีเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำโดยเด็ดขาด โดยสิ่งแรกที่ควรทำนั้นคือ การเปิดฝากระโปรง ดูความเสียหายภายในห้องเครื่องก่อน ว่ามีน้ำอยู่ในชิ้นส่วนใดบ้าง โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์นั้น ยิ่งไม่ควรสตาร์ทรถทันทีเป็นอย่างยิ่ง

2. ลากไปอู่ นี่อาจเป็นข่าวดี และฝันร้ายสำหรับบรรดาช่างเครื่องทั้งหลายที่คงจะต้องมีงานให้ลากยาวถึงปีใหม่กันเลยทีเดียว แต่เมื่อคุณคิดว่าพร้อม ก็จัดการลากไปให้ผู้เชี่ยวชาญดู โดยกำชับว่ารถของคุณถูกน้ำท่วมมา ซึ่งปกติแล้วจะแยกเป็น 2 กรณี คือ
• กรณีแรก ที่น้ำท่วมรถไม่มากนั้น ระบบเครื่องยนต์อาจจะได้รับความเสียหายเล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าน้ำท่วมไม่มากจนรถของคุณไม่ดำลงไปทั้งคันนั้น ช่างก็จะไล่ระบบอากาศ โดยเฉพาะตัวกรองอากาศ ซึ่งจะต้องลดความชื้น ตรวจสอบหัวเทียน และกล่องควบคุมการทำงาน ก่อนที่ช่างจะสตาร์ทเครื่อง ซึ่งโดยมากจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 5000 -10,000 บาท
• กรณีที่ 2 กรณีที่รถจมน้ำหายไปทั้งคันนั้น โดยมาก ช่างจะต้องทำงานกันหนักหน่อย และนั่นอาจหมายถึงการผ่าเครื่องยนต์ เพื่อตรวจสอบน้ำที่เข้าสู่เสื้อสูบว่ามีปริมาณมากน้อยเพียงใด หลังจากนั้นจึงทำการไล่น้ำ และความชื้น

3. ถ่ายของเหลวทุกชนิด จำไว้ว่าน้ำมันไม่ถูกกับน้ำ และโดยมากที่เราแนะให้ไปหาผู้เชี่ยวชาญ ก็เพราะเขาจะจัดการถ่ายของเหลวให้หมดรวมถึงน้ำมันเครื่อง

4. จัดการชุดภายใน นี่เป็นเรื่องที่คุณควรทำอย่างยิ่งโดยเฉพาะรถเก๋งที่โดยมากมักมาพร้อมพรมปูพื้น การซักพรมและชุดภายในเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างรวดเร็ว และทันที เพื่อลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์

พบกันใหม่กับเทคนิคดีๆ กับการดูแลรักษารถยนต์ สำหรับคนรักรถ จาก Thaicarlover.com ได้ใหม่สวัสดีครับ